ผลวิจัยไมโครซอฟท์-ไอดีซี ย้ำ ความคิดสร้างสรรค์คือทักษะสำคัญ ในโลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI

 |   Thornthawat Thongnab

Smiling woman holding circuit board
  • รายงานวิจัยที่ไอดีซีจัดทำขึ้นร่วมกับไมโครซอฟท์ เผยทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
  • มีองค์กรในไทยเพียง 20% เท่านั้นที่เดินหน้าแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มที่ 

กรุงเทพฯ 4 เมษายน 2562 – รายงานวิจัยโดยไมโครซอฟท์และไอดีซีได้เผยถึงช่องว่างที่ยังต้องเติมเต็มในแง่ของทักษะและศักยภาพบุคลากรในตลาดแรงงานไทย ขณะที่ประเทศไทยกำลังพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยผลวิจัยดังกล่าว ซึ่งมีที่มาจากการสำรวจองค์กรธุรกิจ 101 แห่งในประเทศ ยังพบอีกว่า เกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจเหล่านั้นยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อพัฒนาทักษะของบุคลากรให้ใช้ประโยชน์จาก AI ได้

Man in suit with no tie“เทคโนโลยี AI มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของทั้งธุรกิจและผู้บริโภค ในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีสายงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่นักเรียนนักศึกษาจำนวนมากในปัจจุบันจะเรียนจบออกมาสู่ตลาดแรงงานที่เต็มไปด้วยตำแหน่งงานที่เกิดขึ้นใหม่ ยังไม่มีอยู่ในปัจจุบัน” นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ธุรกิจจำนวนมากได้เริ่มให้ความสนใจกับศักยภาพของ AI ในการขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถของพวกเขา จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่องค์กรเหล่านั้นจะลงทุนไม่ใช่เพียงในด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาคนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในอนาคตด้วย”

รายงานวิจัยร่วมระหว่างไมโครซอฟท์และไอดีซีระบุว่า มีองค์กรธุรกิจไทยเพียง 20% เท่านั้นที่วางแผนและเริ่มต้นการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมสำหรับเทคโนโลยี AI อย่างครอบคลุมและเต็มที่แล้ว ขณะที่ 32% เริ่มการพัฒนาในบางส่วน ขณะที่ องค์กรที่ีร่วมในการสำรวจความคิดเห็นถึง 48% ยังไม่เริ่มดำเนินการใดๆ โดยในกลุ่มนี้ มีถึง 21% ที่ยังไม่มีแผนดำเนินงานด้านทักษะของพนักงานเลย

Graphs showing state of preparedness in workforce development for AI

มร.ไมเคิล อะราเน็ตตา รองประธานบริหาร ไอดีซี ไฟแนนเชียล อินไซต์ เสริมว่า “เรายังมีข่าวดีอยู่บ้างในด้านของการยอมรับว่าบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจในอนาคต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ชัดเจนและค่อนข้างแพร่หลายในประเทศไทย โดยธุรกิจไทย 77% ระบุว่าพวกเขาจะลงทุนในตัวพนักงานให้ทัดเทียมกับหรือมากกว่าเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ บริษัทและพนักงานยังมีความเห็นพ้องกันเกี่ยวกับบทบาทหลักของผู้ว่าจ้างในการเสริมสร้างทักษะให้กับแรงงาน โดย 93% ของผู้นำองค์กร และ 89% ของพนักงานมองว่าองค์กรต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้”

เมื่อกล่าวถึงผลกระทบจากเทคโนโลยี AI ต่อการทำงานในอนาคต ทั้งสองฝ่ายต่างมองไปในทางเดียวกัน โดย 77% ของผู้นำองค์กร และ 58% ของพนักงาน คาดหวังว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้พวกเขาสามารถทำงานได้ดีขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ผู้นำธุรกิจ 13% และแรงงาน 19% มองเห็นโอกาสใหม่ๆ จากตำแหน่งงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ และมีผู้นำธุรกิจเพียง 5% และพนักงาน 13% เท่านั้นที่เชื่อว่า AI จะมาแย่งงานจากมนุษย์

ทักษะสำคัญซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับตำแหน่งงานในอนาคต

จากรายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ผู้นำองค์กรธุรกิจไทยระบุว่าทักษะที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับบุคลากรในอนาคต ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ (52%) ทักษะทางดิจิทัล (51%) และทักษะการคิดวิเคราะห์หรือทักษะด้านสถิติ (50%) นอกจากนี้ ผลวิจัยยังคาดการณ์ว่าปริมาณแรงงานที่มีทักษะในทั้งสามด้านนี้ และความสามารถในการวิจัยและการพัฒนาเชิงวิทยาศาสตร์  จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดในอีก 3 ปีข้างหน้า

“อีกข้อมูลสำคัญที่น่าสังเกตคือความแตกต่างระหว่างความคาดหวังของผู้นำธุรกิจและพนักงาน ในการเลือกทักษะสำคัญที่ต้องพัฒนาเพื่ออนาคต” มร. อะราเนตตาเสริม “ผู้บริหารในองค์กรไทยเชื่อว่า บุคลากรที่มีความสามารถจำเป็นต้องมีมากกว่าแค่ทักษะทางเทคนิค โดยสามทักษะที่มีช่องว่างมากที่สุดระหว่างมุมมองของผู้นำและพนักงานในเรื่องความสำคัญคือ การบริหารจัดการโครงการ (แตกต่างกัน 16%) ความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการคน (แตกต่างกัน 14%) และความคิดสร้างสรรค์ (แตกต่างกัน 13%)”

Graph showing key skills in the era of AI

ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกไม่เชื่อมั่นในด้านความพร้อมของวัฒนธรรมองค์กรสำหรับการนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากกว่าผู้บริหาร โดยพนักงานกว่า 72% เชื่อว่าองค์กรของตนไม่อนุญาตให้พนักงานรับมือกับความเสี่ยง ทำการตัดสินใจ หรือปรับเปลี่ยนระบบงานให้รวดเร็วฉับไวยิ่งขึ้น ขณะที่ราว 45% มองว่าผู้บริหารในองค์กรของตนยังขาดการผลักดันให้ทุกคนร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกจากระดับผู้นำ

Group of people looking at drone and controller

นายธนวัฒน์กล่าวเสริมอีกว่า “ไมโครซอฟท์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคคลทุกเพศทุกวัยมาเป็นอันดับแรก เราส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้วยเครื่องมือและทักษะที่เหมาะสม ผ่านโครงการต่างๆ เช่น Hour of Code #MakeWhatsNext และการแข่งขัน Imagine Cup เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่มีความพิเศษและโดดเด่นด้วยศักยภาพของเทคโนโลยี ส่วนนักพัฒนาซึ่งต้องการเริ่มต้นใช้งาน AI ก็สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในอีกหลายโครงการ เช่น Microsoft AI School โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต ทั้งองค์กรและบุคคลต้องมองการณ์ไกลกว่าแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ต้องมุ่งมั่นที่จะบุกเบิกเส้นทางแห่งความสำเร็จตามแนวทางของตนเอง”

ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น AI ของไมโครซอฟท์ได้ที่ https://news.microsoft.com/apac/features/artificial-intelligence/